เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรมๆ วันนี้วันพระ วันพระ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยบัญญัติไว้ให้ชาวพุทธเราไปวัดไปวา ไปวัดไปวาเพื่อชีวิตเราไง เพื่อชีวิตเรา เห็นไหม
เวลาหลวงตาท่านมาที่นี่ ท่านพูด เวลาพระเป็นเนื้อนาบุญของโลก เนื้อนาบุญของโลก เราเป็นบริษัท ๔ เราก็อยากหว่านพืชหวังผลในพระพุทธศาสนา เราอุตส่าห์ขวนขวายมา สิ่งที่หามานี่เมล็ดพันธุ์พืช เราหว่านลงไปในศาสนา แต่การจะหว่านลงไปมันต้องแก่งแย่งชิงพื้นที่กัน
เวลาชิงพื้นที่กัน เห็นไหม เวลาที่นาที่ดอนไม่มีใครทำนาหรอก เพราะนาอย่างนั้นมันหว่านพืชไปแล้วมันไม่ได้ผล เราก็จะหาที่นาของเราที่ดีๆ ไง พอหาที่นาดีๆ ทุกคนก็แสวงหาเหมือนกัน พอแสวงหาเหมือนกัน มันก็แย่งชิงกันพื้นที่นั้น เราจะหว่านพืชเพื่อหวังผลของเรา เวลาทำบุญกุศลของเราไง ถ้าเราทำบุญกุศล เราขวนขวายมา ศาสนาเป็นที่พึ่งๆ เวลาศาสนาเป็นที่พึ่ง ที่พึ่ง ถ้ามีศรัทธาความเชื่อของเรา เราขวนขวายของเรา ถ้าเราหว่านพืชหวังผลของเรา หว่านพืชหวังผล บุญมันคืออะไร
บุญมันคือความสุขใจของเราไง บุญคือความขัดข้องหมองใจในหัวใจให้มันไหลออกไปไง สิ่งที่ขัดข้องหมองใจนะ เอาแต่ความชุ่มชื่นเข้ามาในหัวใจของเราไง บุญคือความสุขใจ หัวใจ นามธรรม นี่คือบุญ ถ้าคนเป็นบุญ เป็นบัณฑิต อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา เราจะไม่คบคนพาล คนพาลมันบีบบี้สีไฟเขาไปทั่ว คนที่เป็นบัณฑิตๆ เราคบบัณฑิต ไปวัดไปวานี่เป็นบัณฑิตทั้งนั้นน่ะ เป็นบัณฑิต บัณฑิตต้องช่วยเหลือเจือจานกันสิ บัณฑิตต้องมีน้ำใจให้ต่อกันสิ ถ้ามีน้ำใจให้ต่อกัน นี่เป็นบุญ ถ้าเป็นบุญ เราไปวัดไปวาเพื่อความเป็นสมานฉันท์ เป็นเรื่องสาธารณะนะ แต่คนเรามันมีจริตนิสัยไง
คนเราเกิดมาๆ คนเราเกิดมา เห็นไหม ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ชาติคือบุคคลเกิดมาแล้วรวมกันเป็นชาติ รวมกันคือคนส่วนใหญ่รวมกันขึ้นมาเป็นจำนวนมากขึ้นมา มันต้องเอาอะไรไปสมานไว้ล่ะ มันก็ต้องมีศาสนาไง มีศาสนาความเชื่อนี่เจือจานกันสมานไว้ ถ้าพระมหากษัตริย์ก็ผู้นำไง ผู้นำชนเผ่านั้นน่ะ นั่นคือกษัตริย์ นี่ก็ผู้นำ ผู้นำที่ดี ผู้นำในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ศาสนาเป็นที่พึ่งที่อาศัย ที่พึ่งที่อาศัย ที่พึ่งที่อาศัย ถ้าที่พึ่งที่อาศัย เรามีศรัทธาความเชื่อของเรา ที่พึ่งที่อาศัย อาศัยค้นคว้า อาศัยศึกษา อาศัยทำให้เรามีความเข้าใจในเรื่องศาสนานั้น ถ้าศาสนานั้นมันมีเป้าหมายเดียวกันไง ถ้าเป้าหมายในพระพุทธศาสนา ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่เป้าหมายในพระพุทธศาสนา
ถ้าเป้าหมายพระพุทธศาสนา สิ่งที่เข้าถึงพระพุทธศาสนาได้ ดูสิ พระนั่งกันอยู่นี่ นี่พระ พระเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ถ้าเห็นภัยในวัฏสงสาร เสียสละความเป็นฆราวาส ฆราวาส เวลาบวชเป็นพระแล้ว พระเราดำรงชีพแบบฆราวาสไม่ได้ พระเราจะซื้อขายแลกเปลี่ยนแบบโลกเขาไม่ได้ พระเราดำรงชีพ เห็นไหม
นี่ไง ความจากฆราวาสธรรม ฆราวาสธรรม อย่างเราเป็นฆราวาสใช่ไหม ฆราวาสเราก็มีศรัทธาความเชื่อของเรา เราก็ศึกษาหาความรู้ของเรา เรามีที่พึ่งที่อาศัยของเรา เรามีเป้าหมายของเรา เราจะสู่เป้าหมายนั้น เวลาถึงเป้าหมาย นี่ศาสนาเป็นที่พึ่งที่อาศัย เวลาที่พึ่งที่อาศัย เห็นภัยในวัฏสงสารมาบวชเป็นพระ พอบวชเป็นพระขึ้นมาจะกำจัดกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน มันไม่ใช่ที่อาศัยแล้วนะ มันเป็นที่ค้นคว้า มันเป็นที่การกระทำ มันกระทำจริงๆ ทำขึ้นมาจน เอโก ธมฺโม ธรรมเป็นหนึ่ง ธรรมเป็นเอกไง แล้วธรรมมันอยู่ที่ไหนล่ะ
ธรรมมันอยู่ในใจผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น เวลาใจผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น ปฏิสนธิจิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ พอเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ความมืดบอดด้วยอวิชชา เพราะอวิชชามืดบอด ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ศึกษามานี่ทรงจำธรรมวินัยนี้ไว้ ทรงจำ ไม่จริง ถ้ามันจะเป็นจริงๆ ศึกษามาแล้วเวลาจะปฏิบัติ นี่มันที่พึ่งที่อาศัย
ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ นี่อาศัย อาศัยสิ่งคุณงามความดี ทำแต่เรื่องคุณงามความดี ทำคุณงามความดีจนเป็นจริตเป็นนิสัย ทำความชั่วไม่ได้ ทำความชั่วมันขัดแย้งกันในหัวใจของตน
ถ้าทำคุณงามความดีราบรื่น ทำคุณงามความดีอย่างไร แม้แต่เสียสละชีวิตก็ยอมเสียสละ เวลาเกิดเสวยชาติเป็นวานร เสวยชาติเป็นเก้งเป็นกวาง เสวยชาติ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไม่เกิดต่ำกว่านกกระจาบ แต่ของพวกเราปุถุชน เกิดเป็นเล็นเป็นไร เกิดหมด
ถ้าคำว่า “ไม่เกิดๆ” นั่นเป็นสิทธิที่ใครจะคัดค้าน แต่ความจริงๆ เวลาเกิดเพราะเราไม่รู้ไง มันเกิดเพราะเวรเพราะกรรมไง มันเกิดเพราะอวิชชาไง เวลาทำบาปอกุศลไว้ เกิด จิต ปฏิสนธิจิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ๆ ได้สร้างสมสิ่งนี้มาไง
อวิชชาทำให้เกิด ทำให้เกิดเพราะอวิชชาเราไม่รู้แจ้งไง ถ้าเห็นภัยในวัฏสงสารมาบวชเป็นพระ ถ้าบวชเป็นพระเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เป็นผู้ที่ค้นคว้า วันนี้วันพระๆ เราพระจริงหรือเปล่า เวลาบวชมา อย่างเราบวชมา บวชมาก็ได้เป็นสมมุติสงฆ์ บวชมาโดยธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ธรรมวินัยบัญญัติไว้ตั้งแต่เอหิภิกขุ ได้ถือไตรสรณคมน์ แล้วก็ญัตติจตุตถกรรม การบวชเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา เวลาคนมากขึ้นๆ ไง วินัยก็เปิดกว้างขึ้นไง
พอเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา วินัยยังไม่บัญญัติเลย พระอรหันต์เยอะแยะไปหมดเลย เวลาคนบวชเข้ามาแล้วมีปัญหาไปหมด คนนู้นก็มีจริตนิสัย มีความเห็นของตน เห็นความเป็นโลกเป็นใหญ่ เห็นชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณเป็นใหญ่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บัญญัติๆๆ บัญญติไม่ให้ทำอย่างนั้น ไม่ให้ทำอย่างนั้น
มันเรื่องโลก โลกมันร้อน โลกร้อนก็สภาวะแวดล้อมไง น้ำท่วม โลกร้อนไง แต่ไม่รู้ว่าหัวใจมันร้อนนะ โลกนี้เร่าร้อนนัก โลกนี้เร่าร้อนนัก พระอรหันต์ ๖๑ องค์ รวมทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เธอจงไปอย่าซ้อนทางกัน โลกนี้ร้อนนัก โลกนี้ร้อนนัก เขาหาที่พึ่งที่อาศัยของเขา เธอกับเราทั้ง ๖๑ องค์พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์”
บ่วงที่เป็นโลก โลกมันร้อน โลกมีชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณ นี่บ่วงที่เป็นโลกไง บ่วงที่เป็นทิพย์ก็ทิพย์สมบัติไง เทวดา อินทร์ พรหม เราก็ไม่เคยเห็นเนาะ แต่หลวงปู่ชอบท่านเห็น เวลาท่านอดอาหารนะ อดีตชาติคู่ครองของท่านได้เกิดเป็นเทวดา ด้วยความคอยใกล้ชิด ด้วยการคุ้มครองดูแลมาตลอด เวลาหลวงปู่ชอบท่านอดอาหาร อดอาหารเพื่ออะไร นี่ไง เพื่อจะประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติธรรมในใจไง ไม่ใช่ที่อาศัยไง ที่จะเอาจริงเอาจังไง คู่ครองของท่านเห็นแล้วนะ สงสารมาก เอาอาหารทิพย์จะมาลูบเข้าไปในร่างกายนั้นไง
หลวงปู่ชอบบอก “ไม่ได้ ผู้หญิงโดนพระไม่ได้ ผู้หญิงโดนพระไม่ได้”
ไอ้คู่ครองบอกว่า “ไม่มีใครเห็นหรอก ตาของโลกไม่มีใครเห็นหรอก”
“ไม่ได้ ไม่ได้”
นี่ไง เราไม่เคยเห็นเทวดาหรอก แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติ ท่านเป็นจริงของท่าน แล้วความเป็นจริงของท่านเป็นประโยชน์กับท่านด้วยนะ จะเอาอาหารทิพย์มาลูบตามผิวหนังให้มันซึมซับเข้าไปในร่างกาย นี่เป็นทิพย์ อาหารทิพย์ นี่ในประวัติหลวงปู่ชอบ นี่ไง เทวดา อินทร์ พรหม สิ่งที่เขาคุ้มครองดูแล ถ้าคุ้มครองดูแล เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นเราก็ว่าไม่มีหรอก แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเทศนาว่าการเป็นวิทยาศาสตร์ เวลาเป็นวิทยาศาสตร์ มนุสสเปโต มนุษย์เปรต มนุสสเทโว มนุษย์เทวดา
ไอ้เราก็บอกว่าเทวดาไม่มีหรอก
เทวดาก็มนุษย์นี่แหละ มนุษย์นี่เป็นเทวดา เพราะธรรมะพูดอย่างนั้นจริงๆ เวลาแจกแจงมนุษย์ไปหลายๆ ประเภทไง มนุษย์เดรัจฉาน มนุษย์เปรต มนุษย์เทวดา มนุษย์พรหม เป็นที่ไหน เป็นที่ใจไง
เวลาใจมันเป็นเทวดานะ ใจมันเป็นผู้วิเศษนะ มันดูแลรักษา เป็นผู้นำที่ดีคุ้มครองดูแล เขาก็เป็นเทวดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติอย่างนั้นจริงๆ แต่นี้มันเป็นผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสารใช่ไหม ผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสาร เวลาพูดถึง ศาสนาเป็นที่พึ่งอาศัยใช่ไหม เราเป็นที่พึ่งอาศัยก็เป็นศรัทธาความเชื่อ เราศึกษาเราค้นคว้าของเรา นี่เป็นที่พึ่งอาศัยไง ที่พึ่งอาศัยเป็นปัจจัย ๔ ไง ที่พึ่งอาศัยเรื่องโลกไง
แต่ถ้าเป็นธรรมๆ อริยสัจ สัจจะความจริง นี่ไง ถ้าเป็นเทวดา เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาด้วยเวรด้วยกรรมของเขา คนทำคุณงามความดีขนาดนั้น คนได้สร้างสมบุญญาธิการมาขนาดนั้น เวลาตายไปมันจะไปไหนล่ะ คุณงามความดี เราทำคุณงามความดีมาจนใจมันดีหมดน่ะ มันจะไหนล่ะ มันลอยฟ่อง มันเบาเป็นอากาศ อากาศธาตุ มันจะไปไหนล่ะ หัวใจที่มันมีคุณงามความดีน่ะ
หัวใจที่มันอาฆาตมาดร้าย หัวใจที่มันทำลายเขา หัวใจที่มันเหยียบย่ำทำลายคนน่ะ มันหนักหน่วง มันจะลอยขึ้นไปได้อย่างไร มันเหมือนเหล็ก มันมีแต่จมน้ำทั้งนั้นน่ะ มันจมดินทั้งนั้นน่ะ เวลามันจมไป นี่ไง กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ไม่ใช่ใครบัญญัติให้เป็น ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าบัญญัติให้เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่พระพุทธเจ้าชี้เลยว่าคนนี้ต้องเป็นพระอรหันต์ คนนี้จะต้องเป็นเปรต คนนี้ต้องเป็นผี ไม่ใช่
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเป็นคนกระทำ เวลากระทำด้วยความมืดบอดของกิเลส ทำด้วยความตัณหาความทะยานอยาก อยากเหยียบย่ำทำลายเขา อยากใหญ่อยากโตในหัวใจนั่น มันเกิดจากอวิชชา เกิดจากตัณหาความทะยานอยากของใจนั้น เกิดจากพญามาร ครอบครัวของมารอยู่ในใจนั้นมันครอบงำหัวใจนั้น แล้วมันบังคับขู่เข็ญหลอกลวงให้หัวใจดวงนั้นทำแบบนั้น เวลามันทำแบบนั้น คิดแบบมโนกรรม พอมโนกรรมเกิดขึ้นมันเกิดการกระทำ เกิดการกระทำมันเกิดวิบาก เกิดกรรม แล้วมันไปไหนล่ะ ใครทำ ทำเองทั้งนั้น
คนที่ทำคุณงามความดี คนที่สร้างคุณงามความดีของเขา จิตใจเขามั่นคงของเขา จิตใจเขาดีงามของเขา ด้วยน้ำจิตน้ำใจของเขา เวลาเขาเสียสละเพื่อมวลชน เพื่อสังคม ไอ้คนที่เป็นเปรตเป็นมารมันก็ว่า “โอ๋ย! คนโง่ ไม่รู้จักหาผลประโยชน์ สู้ฉันไม่ได้ ฉันนี่คนฉลาด”...ฉลาดอยู่ในนรก คนโง่อยู่บนสวรรค์
นี่ไง เวลาการประพฤติปฏิบัติ เขาบอกว่า “ต้องใช้ปัญญาๆ พระกรรมฐาน พุทโธๆ วันๆ หนึ่งก็นั่งหลับหูหลับตา เวลานั่งหลับหูหลับตามันจะรู้อะไร”
ไม่รู้อะไร หลวงปู่เสาร์ หวลงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เราเป็นพระอรหันต์หมดเลย ไอ้คนโง่ๆ นี่เป็นพระอรหันต์หมดเลยนะ ไอ้คนฉลาดมันไปหาโลกธรรม ๘ นู่น อยากดัง อยากใหญ่ อยากมีชื่อเสียง ไอ้นั่นคนฉลาด ไอ้คนฉลาดมันอยากจะโชว์ อยากจะอวด ไปไหนเป็นขบวนเลย
ครูบาอาจารย์ของเราไปไหนไปองค์เดียว หลวงตาท่านไปไหนท่านไม่ให้คนติดตาม ท่านไปของท่าน ไม่ต้อง หัวใจเรายิ่งใหญ่ หัวใจมีความสุข หัวใจไม่เคยหวาดระแวง หัวใจมีแต่วิหารธรรม แล้วสิ่งที่ขบวนการที่มันตามมาเป็นภาระรุงรัง เป็นความไร้สาระ มันเป็นเรื่องการไร้สาระ ไม่มีสาระในหัวใจนั้นเลย แต่ทางโลกนั่นน่ะคือบารมี ไปไหนคนตามยอะๆ โอ้โฮ! ขบวนการใหญ่โต คนนี้บารมีเยอะไง...นี่มันไม่ใช่
นี่ไง ถ้าคนที่มีสติมีปัญญา เรามาวัดมาวาก็เพื่อเหตุนี้ เรามาหว่านพืชหวังผลของเรา ถ้าที่ไหนเนื้อนาที่ดี ธรรมดาคนก็ต้องการหว่านพืชของเขาเพื่อผลประโยชน์ของเขา สิ่งที่ทำมาๆ สิ่งที่เราทำ ใครจะติ ใครจะฉิน ใครนินทา ใครส่งเสริมอย่างไร อยู่ที่การกระทำของเราไง อยู่ที่การกระทำของเรา
ปฏิคาหก ผู้ให้ให้ด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ ผู้รับรับด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ นั่นสะอาดบริสุทธิ์นะ บุญกุศลมหาศาลเลย แต่ทางโลกบอกทำอย่างนั้นก็ไม่ได้บุญ ทำอย่างนี้ก็ไม่ได้บุญ ต้องถวายสังฆทาน
เขาถวายสังฆทานไง ด้วยวัฒนธรรม แล้วพอไปซื้อถังสังฆทานมาก็ไปร้องเรียน ไอ้นี่มันหมดอายุ ไอ้นั่นคิดกำไรเกินควร มันเกิดตรงไหนล่ะ แล้วก็จะไปจับนะ จะไปจับคนขายถังสังฆทานว่าผิดกฎหมาย
ถ้าไม่มีคนซื้อ เขาไม่ทำมาขาย ถ้ามันไม่ฝังไปในหัวใจของคน คนไม่ขวนขวาย นี่ไง สิ่งนี้เราขวนขวายๆ เพราะอะไร ไอ้นู่นก็ผิด ไอ้นี่ก็ผิด ทำอะไรไม่ได้เลย
ปฏิคาหก เราให้ด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ของเรา เราได้มาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ของเรา เราถวายด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ของเรา ถวายแล้วชื่นใจ ภิกษุผู้รับปฏิคาหกไง รับแล้วเราใช้ประโยชน์ครบ ๑๐๐ เปอร์เซ็น โอ้โฮ! สะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่องเลยนะ นี่ไง บุญกุศลมันเกิดอย่างนี้ นี่ปฏิคาหก ผู้ให้ให้ด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ไง ทานเราทำของเราแล้วเราสบายใจไหม ไม่มีใครมาติฉินนินทาเราได้ ไม่มีใครมาแทงให้เรายุบยอบได้ แต่นี่ให้กิเลสมันทิ่มมันแทงไง มันทิ่มมันแทง ไม่ได้บุญหรอก ต้องทำอย่างนี้ๆๆ มันเป็นศาสนพิธี
ศาสนพิธี ดูสิ เถรวาสเราแต่ละภูมิภาคก็ทำแตกต่างกันไป เวลาทำบุญกุศล พอมันแปลกก็กลายเป็นเรื่องตื่นเต้น กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โอ้โฮ! กลายเป็นเงินเป็นทองเลยนะ ไอ้ของแปลกๆ นี่เป็นเงินเป็นทองหมดเลย ไอ้สถานที่เรียบร้อยไม่มีเงินมีทอง ไม่มีใครไปดูเลย โอ๋ย! จืดชืด ไปวัดป่าไม่เห็นได้อะไรเลย ไปวัดปฏิบัติ โอ๋ย! น่าเบื่อ มีแต่โคนต้นไม้ แล้วก็ยุง ไปที่อื่นแล้วมันสนุกครึกครื้น...นี่ไง ของจริงไม่เอา เอาของปลอม
ของจริงๆ สิ่งนี้มันเป็นความจริง ธาตุ ๔ มันเป็นของจริง ไอ้นั่นมหรสพสมโภช การกระทำ บริษัทรับจัดงานมันทำให้ ทุกอย่างทำให้ได้หมด อยากได้อะไรล่ะ เชื่อในอะไร อยากได้อะไร ในวัฒนธรรมไหนเชื่อสิ่งใด สิ่งนั้นน่ะเป็นระบบเศรษฐกิจ แล้วพระก็บอกว่าไม่ได้ พระเป็นพุทธพาณิชย์
ไอ้นั่นมันเป็นเรื่องของเขา ความเชื่อของคน นี่ถ้าเป็นความเชื่อของเรา นี่ไง โคนต้นไม้เป็นความจริง เอาใจเราสงบได้ไหม ถ้าใจเราสงบแล้ว สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วสมาธิซื้อไม่ได้ ให้มีเงินกี่พันล้านก็ซื้อไม่ได้ ใครอยากได้อยากดีต้องมีการกระทำเอาทั้งนั้นน่ะ
ในการปฏิบัติ จะมั่งมีศรีสุข ทุกข์จนเข็นใจขนาดไหน เวลาเป็นพระอรหันต์ก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกันทั้งนั้นน่ะ เวลาเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาด้วยอริยสัจไง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคไง เวลามรรคมันเกิดขึ้น ภาวนามยปัญญาน่ะ ถ้าเกิดภาวนามยปัญญาไปแล้ว ปัญญาที่ยอดเยี่ยม ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาในพระพุทธศาสนา มันจะมีอะไรประเสริฐเลอเลิศไปกว่านั้นไง
ถ้าไม่มีสิ่งใดประเสริฐเลอเลิศไปกว่านั้น เราเป็นชาวพุทธไง ด้วยความภูมิใจๆ พระพุทธศาสนา ศาสนาแห่งปัญญานะ ด้วยความภูมิใจ ด้วยความอหังการ แต่ไปให้กิเลสมันหลอก อหังการในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่กูจำมาทั้งนั้นเลยนะ แล้วความจำกูนี่แน่มาก เถียงชนะหมดเลย แล้วเอ็งก็ตายอยู่กับความจำนั่นน่ะ
ศาสนาเป็นที่พึ่งที่อาศัยไง เราก็ที่พึ่งที่อาศัยให้ความมั่นใจไง ความมั่นใจว่าเราเป็นชาวพุทธไง เรามีบุญกุศล เรามีที่พึ่งอาศัยของเรานะ นี่ผลของวัฏฏะนะ เป็นอามิส คำว่า “อามิส” มันเกิดขึ้น รถยนต์ เวลาจะมาต้องเติมน้ำมันมาเต็มถัง น้ำมันใครเต็มถังแล้วไปได้ไปกว่ากัน นั่นก็บุญเขามากกว่า น้ำมันเรามีครึ่งถัง เราก็ไปได้แค่ครึ่งทางใช่ไหม น้ำมันไม่มีเลย เราไปไม่ได้ อามิส สิ่งที่เราทำบุญกุศลอยู่นี่เพราะมีการกระทำไง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอุบาย อุบายให้ชาวพุทธได้ขวนขวายได้ทำ คนที่ไม่มีความสามารถก็ได้แค่เรื่องของทาน ถ้าเรื่องของทานก็หว่านพืชหวังผลไง ให้เขาหว่านพืชของเขา เขาเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เขาควรได้สิ่งใดติดในหัวใจเขาไป ถ้าติดในหัวใจเขาไป ถ้าเขาทำสิ่งใดไม่ได้ ให้เขาเสียสละทานของเขาไป มันเป็นอามิสไง มันเป็นน้ำมันที่เติมไปในหัวใจดวงนั้นไง ให้หัวใจดวงนั้นขับเคลื่อนไปได้ยาวไกลแค่ไหนไง ถ้าเราจะเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะก็ขอให้มีบุญกุศลนี้เป็นที่พึ่งอาศัยบ้าง อย่าให้มันทุกข์ยากจนเกินไปนัก เวลาไปเกิดแล้วมีแต่รถเปล่าๆ ขยับอะไรไม่ได้เลย ชีวิตนี้มันแสนทุกข์แสนยาก แต่บางคนเกิดมา รถน้ำมันเต็มถังเลย เขาจะทำอย่างไรประสบความสำเร็จไปทั้งนั้น นี่คือการกระทำของเขา นี่คือสิ่งที่ว่า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้อุบาย อุบายในการให้ชาวพุทธเราได้ขวนขวายได้เป็นสมบัติของตนๆ ไง ใครทำไว้ได้เป็นสมบัติของตน สมบัติอย่างนี้เป็นอามิส บุญโดยอาศัยอามิสไง
แต่ถ้าเรามีความเชื่อมีศรัทธาที่มั่นคงขึ้น เราอยากได้ผลที่ดีขึ้นกว่านั้น เราจะฝึกหัดปฏิบัติของเรา ทานกิริยาวัตถุ เราเสียสละ เราเสียสละบุญกุศลด้วยกิริยาวัตถุ กิริยาคือการนอนการสุขสบายเราไม่ทำ เรานั่งสมาธิของเรา เราถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เราเอาร่างกายนี้ถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง
เวลามาทำบุญกุศล ขวนขวายมาด้วยความทุกข์ความยาก หามาด้วยความลำบากลำบนอย่างนั้นน่ะ เวลาไม่มีเงินไม่มีทอง นั่งเฉยๆ นั่งที่บ้านน่ะ นั่งที่หน้าหิ้งพระนั่นน่ะ เอาร่างกายนี้ เอาตัวเราถวายพระพุทธเจ้า มันได้บุญไหม เวลาปฏิบัติ เวลาเรานั่งสมาธิ เปรียบเหมือนเราเอาร่างกายใส่พานถวายองค์วสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันได้บุญไหม มันไม่มีบุญอะไรมากไปกว่าการภาวนานี้หรอก แล้วเวลาภาวนาขึ้นมาจิตมันสงบ จิตมันสงบ มันจะพ้นจากอามิสไง
ถ้ามันหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธด้วยอำนาจวาสนาของเรา ด้วยสติปัญญาของเรา ด้วยความสามารถของเรานะ เวลาจิตมันสงบขึ้นมา จิตนี้เป็นหนึ่ง ไม่พาดพิงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ในปัจจุบันนี้มันเป็นสัญญาอารมณ์ทั้งนั้นน่ะ ถ้าเราไม่คิด หัวใจไม่มี ถ้าเราคิด หัวใจอยู่นี่ นี่มันพาดพิงอารมณ์ๆ แต่เราคิดว่างๆ หัวใจมันก็พาดพิงความว่างไง เราศึกษามา สมาธิคือความว่าง เราก็นึกว่างๆ ว่างๆ แล้วก็ว่างๆ โอ้โฮ! มีความสุขมาก
นั่นแค่ว่างๆ ว่างๆ โดยสัญญาอารมณ์ มันเป็นสองไง มันเป็นสองคือว่ามันมีผู้คิดกับผู้รับรู้ นี่มันถึงเป็นอารมณ์สอง
ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ หนึ่งเดียว ไม่มีสอง จิตนี้ไม่พาดพิงใดๆ ทั้งสิ้น จิตนี้ป็นเอกเทศ ความเป็นเอกเทศอย่างนี้ นี่สัมมาสมาธิ พอเกิดสัมมาสมาธิแล้วฝึกหัดใช้ปัญญาๆ เพราะมีสัมมาสมาธิมันเป็นสากล ถ้าเป็นสัมมาสมาธิแล้วมันไม่มีอุปาทาน ไม่มีจริตนิสัย ไม่มีสิ่งใดที่เข้าไปเจือปน แล้วฝึกหัด ฝึกหัดใช้ปัญญา แล้วถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมันจะเป็นมรรค มรรคนี้เกิดขึ้นจากอะไร
มรรคนี้เกิดขึ้นจากสัมมาสมาธิ มรรคนี้คือดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ความระลึกที่ชอบ คือสติชอบ ดำริชอบ ดำริเพื่ออะไร ดำริเพื่อออกจากทุกข์ไง มันเป็นงานชอบธรรมไง งานชอบธรรมในพระพุทธศาสนา งานชอบธรรมในมรรคไง
แต่งานของเราหาตังค์ชอบธรรม เดี๋ยวกินข้าว ถ้าตักข้าวใส่ปากคือชอบธรรม เพราะในท้องมันมีอาหาร นี่ความชอบธรรมของใคร
แต่ความชอบธรรม ชอบธรรมของมรรคนะ โอ๋ย! มันสุดยอดๆ แล้วเราไปเห็นแล้วเราจะอึ้งทึ่งมาก ทึ่งจนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วนะ ทอดธุระทอดอาลัยทั้งๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมมาเพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ แต่เวลาตรัสรู้ขึ้นมาแล้วจะสอนเขาได้อย่างไร จะสอนเขาได้อย่างไร เพราะมันเป็นเส้นผมบังภูเขา มันเป็นเรื่องภายในหัวใจ มันเป็นเรื่องความลึกลับซับซ้อนที่เราคิดได้ยาก แต่ถ้าปฏิบัติไปเห็นความเป็นไปของมันจะทึ่งอึ้งเลยล่ะ
เวลาหลวงตาท่านสำเร็จนะ ท่านกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบแล้วกราบเล่า กราบถึงบุญถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ขวนขวายหาสิ่งนี้มา ท่านกราบแล้วกราบเล่า ถ้าไม่มีคนชักนำมา ไม่มีคนเดินอยู่ข้างหน้า เราจะเดินไปในทางไหน ปฏิบัติมาล้มลุกคลุกคลานเกือบเป็นเกือบตาย ไม่มีผู้นำเดินไปข้างหน้า ไม่มีร่องมีรอยให้เราก้าวตามเลย เราจะก้าวตามได้อย่างไร นี่มันถึงได้กราบไหว้ด้วยหัวใจไง ชีวิตนี้ยังอุทิศให้ได้เลยนะ พระอานนท์ ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีปัญหาใด ท่านสละชีวิตๆ ถ้าคนที่มีคุณธรรมท่านสละชีวิตของท่านเพื่อครูบาอาจารย์ของท่านด้วยความเต็มใจ เอวัง